ตัวอย่าง แสงกระสือ 2
ตัวอย่าง แสงกระสือ 2 ภาคนี้จะปรับเข้าสู่แนวทางหนังสัตว์ประหลาดเต็มรูปแบบ ทั้ง กระสือและคู่ปรับสุดอาฆาตอย่าง กระหัง จากในภาคแรกก็ยังมีบทบาทในภาคนี้เช่นกัน โทนหนังจะเน้นความเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าภาคแรกที่จะก้ำกึ่งระหว่างเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับผีสางของบ้านเรา กับสายพันธุ์มอนสเตอร์ โดยนำเสนอ กระสือ ในภาคนี้นั้นให้เกิดจาก ปรสิตที่อาศัยต้องร่างกายของหญิงสาวและแพร่พันธ์ผ่านทางน้ำลาย ผิดกับสาเหตุของการติดเชื้อของกระหังที่ยังคงใส่ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องคุณไสยสไตล์ไทยมานำเสนอ แต่แฝงปริศนาที่ค่อนข้างไปทางวิทยาศาสตร์
เราจึงได้เห็นพัฒนาการของตัวสัตว์ประหลาดทั้งสองสายพันธุ์ที่มีความดุร้ายและมีสัญชาตญาณของสัตว์มากกว่าภาคแรกที่แม้จะกลายร่างก็ยังควบคุมสติได้อยู่ ซีนกลายร่างในภาคนี้จึงทำออกมาได้โดดเด่นกว่าภาคแรก ที่ดีไซน์ออกมาให้เห็นความเจ็บปวดทรมานเหมือนการติดเชื้อโรคร้าย และแม้จะควบคุมมันหรือกินยาระงับอาการก็ไม่สามารถช่วยลดและรักษาอาการเหล่านี้ได้ เรื่องนี้จึงเน้นขายความเป็นมอนสเตอร์มากกว่าหนังผีสยองขวัญ ซึ่งจริงๆแล้ว แสงกระสือ แม้จะเอาตำนานผีไทยมาใช้แต่ก็ไม่ได้จะทำออกมาในทิศทางของหนังผีสยองขวัญ เพราะไอเดียตั้งต้นนั้นทีมสร้างตั้งใจทำให้เป็นแนวทางสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว จึงไม่ต้องห่วงเรื่องจะมีฉากจัมสแกร์ให้ตกใจ
ที่เล่ามานั้นคือส่วนดีสำหรับไอเดียการทำภาคต่อเน้นสร้างความแปลกใหม่ #แสงกระสือ2 แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนดาบสองคม เมื่อการทำภาคต่อของผลงานที่มันดีอยู่แล้วถ้าไม่ดีเทียบเท่าหรือดีกว่าจะต้องมีรับผลการเกิดข้อเปรียบเทียบอย่างแน่นอนไม่เว้นแม้แต่เรื่องนี้ แม้จะขายไอเดียความแปลกใหม่ได้น่าสนใจ แต่สิ่งที่ขาดไปและสำคัญที่สุดคือ เสน่ห์ของเรื่องนี้ หนังไม่สามารถทำออกมาได้ดีเหมือนภาคแรก แม้จะปูเรื่องให้เรามีอารมณ์ร่วมกับตัวละครแต่เรากลับไม่สามารถอินกับตัวละครในเรื่องนี้ได้เท่ากับภาคแรกและตลอดเวลาการปูเนื้อหาของภาคนี้มันไม่สามารถบิ้วเราให้ตื่นเต้นแต่ทำออกมาได้เอื่อยบวกกับน่าเบื่อ และการดำเนินเรื่องที่ซ้อนกันหลายตัวละครจนยุ่งเหยิง ส่งผลให้ช่วงท้ายเรื่องเกิดปัญหาที่ไม่สามารถหาทางลงให้ตัวละครจบได้แบบดีเลยสักตัว แม้จะได้ พี่น้อย วงพรูมาช่วยผยุงหนังไว้เกือบทั้งเรื่องก็ไม่สามารถพาหนังไปสู่จุดที่ดีได้
หากพูดถึงภาพรวมเป็นหนังภาคต่อที่มีทั้งจุดดีในด้านไอเดียความแปลกใหม่อยากนำเสนอสัตว์ประหลาดสายพันธุ์ไทยในวงการหนังบ้านเรา แต่สอบตกในส่วนของการเป็นหนังภาคต่อที่ภาคแรกทำไว้ดีและประทับใจคนดู จะบอกว่าเข้าขั้นแย่จนดูไม่ได้เลยก็คงไม่ถึงขนาดนั้น เอาเป็นว่าถ้าคนที่เคยดูและชื่นชอบภาคแรกอาจจะผิดหวังกับภาคนี้ในแง่การเป็นงานภาคต่อ แต่ถ้าเข้าไปชมแบบเปิดใจว่านี้คือหนังมอนสเตอร์ไทยอีกเรื่อง ก็ถือว่าไม่เลวร้ายจนทำให้เราเกลียด ยิ่งถ้าใครชอบการแสดงของพี่น้อย วงพรู นี้เป็นอีกงานที่โชว์พลังการแสดงออกมาได้ดีอีกเรื่อง
หลังจากเลื่อนกำหนดฉายไปนานหลายเดือน ในที่สุด แสงกระสือ 2 ภาพยนตร์โรแมนติกสยองขวัญจากค่าย เนรมิตรหนัง ฟิล์ม ก็ได้กลับมาสานต่อเรื่องราวความรักต่างสายพันธุ์กันอีกครั้ง พร้อมได้ ดี้-ปภังกร ปุญจันทรักษ์ ที่เคยฝากผลงานโฆษณาและภาพยนตร์สั้นมาแล้วมากมาย มานั่งแท่นผู้กำกับ รวมถึงทัพนักแสดงมากฝีมือที่จะมาร่วมรับบทนำ ประกอบด้วย เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม, นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์, น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์, เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ, ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม และ โจ คัมมินส์
ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวต่อจากภาคแรกนาน 30 ปี เมื่อ น้อย (น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์) ที่ได้รับเชื้อกระสือมาจาก สาย จึงส่งผลให้ สาว (นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์) ลูกสาวของเขากลายเป็นกระสือตั้งแต่ยังเด็ก น้อยจึงต้องร่วมมือกับ บาทหลวงออกัสติน (โจ คัมมินส์) เพื่อคิดค้นยารักษาที่สกัดจากว่านกระสือ ด้วยความหวังว่าจะช่วยให้ลูกสาวกลับมาเป็นปกติ
ขณะเดียวกัน สาวก็ได้มาพบกับ คลาว (เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม)
บุตรบุญธรรมของบาทหลวงออกัสติน ที่มีความผิดปกติทางร่างกายแต่กำเนิด แสง กระสือ 2 และนั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความรักต่างสายพันธุ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่ไปตลอดกาล
หากมองย้อนกลับไปใน แสงกระสือ ภาคแรกที่ออกฉายในปี 2562 หัวใจสำคัญที่ส่งให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ คือการผสมผสานองค์ประกอบหลายๆ ส่วนออกมาได้อย่างกลมกล่อม ทั้งพาร์ตดราม่า บรรยากาศสยองขวัญ ความโรแมนติก ฉากแอ็กชันแฟนตาซีในช่วงท้ายเรื่องที่เหนือความคาดหมาย ไปจนถึงประเด็นสำคัญของเรื่องที่เล่าถึงแง่มุมความรักของชายหนุ่มและหญิงสาวต่างสายพันธุ์ ที่สะท้อนภาพของการ ‘ยอมรับ’ ในความแตกต่างของผู้คน และ ‘รัก’ ในตัวตนของคนคนนั้นจากภายในนั้นมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก
มาถึง แสงกระสือ 2 ผู้เขียนแอบรู้สึกว่าเรื่องราวในภาคนี้ดูจะขาดเสน่ห์อะไรบางอย่างไป จนทำให้ตัวภาพยนตร์แอบ ‘ไม่กลมกล่อม’ เท่าไรนักเมื่อเทียบกับภาคแรก
จุดสังเกตข้อแรกที่เราแอบรู้สึกเสียดาย เห็นจะเป็นประเด็นหลายๆ อย่างที่ภาพยนตร์ต้องการนำเสนอ แต่กลับ ‘ไปไม่สุดในทางใดทางหนึ่ง’ เริ่มตั้งแต่เส้นเรื่องความรักโรแมนติกของคู่พระนางอย่าง สาว และ คลาว ที่ตัวภาพยนตร์ค่อนข้างให้เวลากับการปูเรื่องราวของทั้งคู่นานพอสมควร แต่กลับกลายเป็นว่าภาพยนตร์ไม่ได้ฉายภาพหรือขับเน้นให้เราเห็นถึง ‘การโอบกอดความแตกต่าง’ อย่างชัดเจนมากนัก แต่จะเน้นไปในเชิงบรรยากาศโรแมนติกที่ทั้งคู่ได้ใช้เวลาร่วมกันเสียมากกว่า’นิ้ง-เจเจ’ ชวนพิสูจน์ตำนานรักบทใหม่ ‘สัตว์ประหลาด-ตัวประหลาด’ ใน ‘แสงกระสือ 2’
หรือจะเป็นประเด็นของตัวละครคลาวที่นอกจากจะเป็นโรคผิวเผือกแล้ว ตัวเขายังมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงที่มาที่ไปของความลับดังกล่าวอย่างชัดเจนนัก รวมถึงในระหว่างทาง ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ได้วางคำใบ้ให้เราได้คาดเดาความเป็นมาของความลับดังกล่าวอีกด้วย มันจึงส่งผลให้ในช่วงบทสรุปของเรื่อง ภาพยนตร์กลับไม่สามารถทำให้เรามีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้อย่างที่ควรจะเป็น
รวมถึงเส้นเรื่องของตัวร้ายหลักที่นำแสดงโดย ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม แสง กระสือ 2 ที่เรายังแอบสงสัยกับภูมิหลังของตัวละครอยู่พอสมควร และแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะพยายามผูกปมปัญหาที่ขับเคลื่อนให้ตัวละครดำเนินไปข้างหน้า แต่ภาพยนตร์ก็ไม่ได้หยิบปมปัญหาดังกล่าวมาใช้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ตัวละครตัวนี้ดูไม่มีมิติเท่าไรนัก
ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์มีหลายประเด็นที่ต้องการนำเสนอ แต่กลับบาลานซ์เรื่องราวไม่ค่อยลงตัวนัก แอบมีความครึ่งๆ กลางๆ อยู่ประมาณหนึ่ง มันจึงส่งผลให้เราไม่รู้สึกผูกพันหรืออยากเอาใจช่วยตัวละครภายในเรื่องอย่างที่ควรจะเป็น
ขณะเดียวกัน หนึ่งในจุดเด่นสำคัญที่คอยช่วยตรึงให้เราอยู่กับภาพยนตร์ไปได้ตลอดทั้งเรื่อง คือการแสดงของทีมนักแสดงนำทุกคน โดยเฉพาะ น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ในบทบาทของ น้อย ซึ่งได้รับการต่อยอดมาจากภาคแรก ที่ถ่ายทอดบทบาทของตัวเองออกมาได้อย่างลึกซึ้ง กับบทของพ่อผู้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาลูกสาวของตัวเอง ควบคู่ไปกับการปกป้องลูกสาวจากภัยอันตรายต่างๆ และการต้อง ‘อดทน’ กับการเห็นลูกสาวต้องกลายร่างเป็นกระสือในทุกค่ำคืน
อีกหนึ่งจุดเด่นที่เราชื่นชอบ คือการตีความต้นกำเนิดของกระสือที่แตกต่างไปจากตำนานกระสือฉบับอื่นๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้กำกับและทีมสร้างได้จินตนาการเรื่องราวได้อย่างสดใหม่และน่าสนใจ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้ผู้สร้างสามารถสานต่อเรื่องราวไปได้อย่างกว้างขวางในอนาคต
ในภาพรวมแล้ว ส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างชอบ แสงกระสือ ภาคแรกมากกว่า แสงกระสือ 2 พอสมควร ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์มีหลายประเด็นที่ต้องการนำเสนอ แต่ภาพยนตร์กลับพาเราเข้าไปสำรวจประเด็นเหล่านั้นเพียงผิวเผินเท่านั้น จนส่งผลให้เราไม่มีความรู้สึกร่วมกับประเด็นเหล่านั้นอย่างที่ควรจะเป็น ขณะที่ แสงกระสือ ภาคแรก แม้จะมีข้อสังเกตให้กล่าวถึงอยู่บ้าง แต่หากมองในภาพรวมเรากลับรู้สึกว่าตัวภาพยนตร์มีกลวิธีนำเสนอที่กลมกล่อม และชวนให้เราอยากเอาใจช่วยตัวละครภายในเรื่องมากกว่า
ได้เอากระสือที่เคยถูกเล่าในรูปแบบหนังเกรดบีขายสายต่างจังหวัดมาตีความใหม่เป็นหนังก้าวข้ามวัย (Coming of Age) และใส่ความโรแมนติกผสานการแสดงของ แสงกระสือ 2 มินนี่ ภัณฑิรา พิพิธยากร นางเอกละครช่อง 7 ตัวอย่าง แสงกระสือ 2 ที่ก้าวมาแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกจนเกิดเป็นหนัง ‘แสงกระสือ’ กวาดคำชมแต่ไม่กวาดรายได้ทั้งที่คุณภาพของหนังจัดได้ว่าเป็นหนังไทยคุณภาพสูงเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ จนในที่สุดเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทหนังหน้าใหม่อย่างเนรมิตรหนังฟิล์มได้กำเนิดโปรเจกต์ ‘I Am Monster’ และสร้างเซอร์ไพร์สให้ หนังภาคต่อที่ทิ้งช่วงห่างมาราว 4 ปีอยู่ในโปรเจกต์นี้ด้วย
ซึ่งเรื่องราวจะดำเนินต่อจากหนังภาคแรกภายใต้นักแสดงชุดใหม่และเรื่องราวใหม่ ๆ ที่ยังคงความเป็นแสงกระสือเดิมนั่นคือความโรแมนติกและความสยองขวัญ 22 ปีหลังเหตุการณ์กระสือสายบ้านโคกอีนวล น้อย (รับบทโดย กฤษดา แคลปป์) ได้พบรักใหม่และมีลูกสาวชื่อ สาว (รับบทโดย ชัญญา แม็คคลอรีย์) แต่เธอต้องมารับเชื้อกระสือจากผู้เป็นพ่อที่เคยจูบกับคนรักเก่า
น้อยจำต้องพึ่งพายาของบาทหลวงออกัสติน (รับบทโดย โจ คัมมินส์) เพื่อควบคุมกระสือในตัวสาว ทำให้เธอได้พบกับคล้าว (รับบทโดย กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) หนุ่มเผือกผู้มีพลังพิเศษแอบซ่อนอยู่แสงกระสือ” | Netflixแต่หลังจากสาวไม่สามารถควบคุมสัตว์ร้ายในตัวจนเกิดเหตุสยองกับสัตว์ป่าขึ้น สาวจำเป็นต้องหนีการตามล่าของพันธุ์ (รับบทโดย นพชัย ชัยนาม)
ผู้รับงานจากนายทุนฝรั่งให้ตามล่ากระสือ โดยที่เขาเองก็มีความลับสุดอันตรายซ่อนอยู่ งานนี้สาวและคล้าวจำต้องเอาชีวิตรอดทั้งจากสัตว์ประหลาดในตัวของสาวและพันธุ์ให้จงได้ ใน เปลี่ยนมาใช้บริการผู้กำกับหนังโฆษณาอย่าง ปภังกร ปุนจันทรักษ์ ซึ่งก็แน่นอนว่ามุมมองงานภาพและโปรดักชันย่อมเนี้ยบเป็นธรรมดา และปภังกรดูจะให้ความสำคัญกับซีจีไอในหนังมากเป็นพิเศษถึงขนาดดีไซน์ฉากถอดหัวให้มีความหน่วงของการแสดงผสานกับงานซีจีเนี้ยบ ๆ
และยังดีไซน์โมทีฟการเปลี่ยนร่างของสาวให้ออกมาในรูปแบบของไฟฟ้าที่บ้านของเธอกะพริบติด ๆ ดับ ๆ ได้อารมณ์หนังสยองขวัญฝรั่งมาก ๆ แต่แล้วองค์ประกอบดี ๆ หลายอย่างก็ดันมาสะดุดกับหัวใจหลักในการทำให้ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเป็นหนังที่ดีได้นั่นคือบทภาพยนตร์ ปัญหาสำคัญของ หากให้วิเคราะห์ออกมาแล้วน่าจะมีอยู่ 3 ประเด็นหลัก ๆ ทั้งตัวละครเยอะยุบยับแต่ไม่ค่อยมีประโยชน์ในการเล่าเรื่อง ตัวอย่าง แสงกระสือ 2 การไม่เล่าที่มาที่ไปของปรากฎการณ์หลายอย่างในเรื่อง รวมไปถึงมันให้เวลากับการพัฒนาตัวละครไม่เพียงพอ
ประเด็นแรกก่อนเลยสิ่งที่ทำให้ ‘แสงกระสือ 2’
ดูมีความน่าสนใจและให้ภาพที่ต่างจากหนังภาคแรกแจ่มชัดที่สุดคือการเดินเรื่องภายใต้สังคมสยามที่ฝรั่งเป็นใหญ่ เดาเอาว่าน่าจะเป็นยุคสงครามเวียดนามหรืออะไรเทือกนี้ โดยในหนังมี 2 ตัวละครสำคัญคือบาทหลวงออกัสตินและนายทุนฝรั่ง ซึ่งในกรณีของบาทหลวงออกัสตินยังมีที่ทางให้คือเป็นคนสกัดยาจากว่านกระสือและเป็นคนเลี้ยงดูคล้าว แต่ตัวนายทุนฝรั่งถูกใส่มาแบบงง ๆ ว่าจะมาเพื่ออะไร ต้องการกระสือไปทำโชว์หรืออะไรหรือไม่ ยิ่งในบทสรุปแล้วพอหนังจะดำเนินรอยตามหนังภาคแรก การมีอยู่ของนายทุนฝรั่งเลยกลายเป็นส่วนเกินโดยปริยาย นอกจากนี้หนังยังทำให้ตัวละครที่ดูเหมือนจะมีประเด็นสำคัญของเรื่องอย่าง อนันต์ ที่รับบทโดย ภูมิภัทร ถาวรศิริ โดยหนังปูให้ตัวละครอนันต์เป็นลูกบุญธรรมบาทหลวงออกัสตินและคอยดูแลคล้าวตั้งแต่เขายังเด็ก
พอกลับมาไทยในฐานะนักวิจัยทางการแพทย์หนังยังไม่ให้โอกาสเขาในการแสดงสิ่งที่เรียนมาเลยจนน่าเสียดายที่แม้แต่ตัวละครที่ถูกสร้างมาน่าสนใจถูกทิ้งขว้างแบบนี้ ประเด็นต่อมาคือการไม่เล่าที่มาที่ไปของปรากฎการณ์ในหนัง ใช้เงื่อนไขต่างจากหนังภาคแรกเพราะในขณะที่เดิมหนังเล่าเรื่องในหมู่บ้านห่างไกลช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และมันเอาเรื่องความกลัวกระสือมาผูกโยงกับภาวะความเป็นอื่นของวัยรุ่น โดยมีผู้นำชุมชนและชาวบ้านที่ต้องการล่าแม่มดเป็นเงื่อนไขสำคัญของเรื่อง แต่ในหนังภาคนี้มันกลับเลือกตัดประเด็นดังกล่าวทิ้ง ซึ่งมองว่ากล้าหาญนะครับ
แต่ในเมื่อตัวละครนายทุนฝรั่งเองหนังก็ไม่อธิบายว่ามาทำธุรกิจชั่วอะไรที่เมืองไทยบ้างนอกจากซื้อเด็กชาวเขาจากพ่อแม่ มิหนำซ้ำหนังยังไม่ได้อธิบายเลยว่านายทุนต้องการเอากระสือไปทำอะไร จะเอาไปโชว์ในงานวัดหรืออย่างไร หรือแม้แต่ตัวบาทหลวงออกัสตินเองก็ยังมีประโยคตอนท้ายที่เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนทำผู้ชมงงไปตาม ๆ กัน
และยิ่งไปกว่านั้นตัวละครอย่างพันธุ์ที่ดูน่าจะมีที่มาที่ไปกลับถูกจัดวางมาเหมือนตัวสลับเรื่องกับความรักระหว่างสาวกับคล้าว เพราะถึงแม้จะมีเรื่องประเด็นครอบครัวที่เขาต้องปกป้องหรือสัตว์ร้ายในตัว แต่หนังก็ให้พันธุ์ทำหน้าที่แค่มาล่ากระสือ ชักดิ้นชักงอ ไปรับงานสลับอดีตที่ไม่รู้ว่าใส่มาทำไมนอกจากจะอธิบายเรื่องอสูรในตัวของเขาเท่านั้นเองจนเสียดายฝีมือการแสดงของพี่ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม ที่อุตส่าห์ตีความตัวละครได้น่าสนใจหลายจุด มาถึงประเด็นสุดท้ายเรื่องพัฒนาการตัวละคร ที่แม้แต่ตัวละคร น้อย ที่รับบทโดยพี่น้อย กฤษดา
เองเราก็ยังไม่รู้สึกว่านี่คือคนเดียวกับน้อยในหนังภาคแรก แม้การแสดงของพี่น้อยทำให้ตัวละครนี้มีมิติทั้งความผิดบาปที่ตัวเองเคยรับน้ำลายกระสือมาหรือความอ่อนล้าจากการที่ต้องเฝ้าสาวในยามวิกาลกระทั่งนำไปสู่บทสรุปสุดเดือดก็ยังมิอาจแบกหรืออุดช่องโหว่ให้หนังได้มากนักแสงกระสือ2 – Twitter Search / Twitterยิ่งพอหนังจะพยายามขายเรื่องราวความรักระหว่างสาวกับคล้าว มันก็ดันถูกนำเสนอเหมือนหนังโฆษณาหรือมิวสิกวิดีโอไปซะอีก แม้ทั้งสองคาแรกเตอร์จะมีความน่าสนใจในมิติของตัวประหลาดและได้การแสดงดี ๆ จากนิ้ง ชัญญาและเจเจ กฤษณภูมิ
แต่ในเมื่อหนังใส่มาแค่ฉากเดินตลาดที่ผู้คนมองพวกเขาด้วยสายตาเป็นอื่นเพียงเท่านั้น อุปสรรคความรักของทั้งคู่เลยดูเบาบางเกินไป ผิดกับรักสามเส้าระหว่างสาย น้อยและเจิดในหนังภาคแรกที่เต็มไปด้วยประเด็นสังคมการเมืองที่ชวนเจ็บปวดและใจสลายมากกว่า สรุปแล้ว ‘แสงกระสือ 2’ ถือเป็นหนังไทยเรื่องหนึ่งที่มีงานโปรดักชันและภาพรวมการแสดงที่น่าสนใจนะครับแถมงานซีจีต่าง ๆ ก็ดูตั้งใจยกระดับหนังไปอีกขั้น แต่เสียดายบทหนังที่ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากพอเลยทำให้หนังออกมาดูแหว่งวิ่นภายใต้หีบห่อที่ดูสวยงามไปอย่างน่าเสียดาย