33 ใต้นรก 200 ชั้น ภาพยนตร์ The 33 ผลิตจากเหตุจริงเมื่อปี 2010 จากอุบัติเหตุเหมืองซานโฮเซ่ (San José) ของประเทศชิลีกระหน่ำปิดทางเข้าออกและก็ขังเป็นคนงาน 33 คนไว้ใต้ดินลึกกว่าอาคาร 200 ชั้น ตรงเวลาถึง 69 วัน 5 สิงหาคม 2010 เหมืองซานโฮเซ่ (San José) ซึ่งเป็นเหมืองทองแดงและก็ทองอายุกว่าร้อยปีเกิดกระหน่ำ หินยักษ์ขนาดใหญ่โตปิดทับทางเข้าออกทางเดียว
ขังเป็นคนงาน 33 คนไว้ภายในนั้น กับอากาศและก็เสบียงที่จำกัด Mario Sepúlveda (Antonio Banderas) มีบทบาทแบ่งส่วนแบ่งส่วนของกินอันจำกัดให้พอเพียงสำหรับทุกคน 33 ใต้นรก 200 ชั้น กระทั่งการช่วยเหลือเกื้อกูลจะเข้าถึง María Segovia (Juliette Binoche ดาราหนังออสการ์) นำกลุ่มบรรดาครอบครัว ญาติโกโหติกา แล้วก็แฟนของเหล่าคนงานมาตั้งแคมป์กันหน้าเหมือง รอการกลับมาของทั้งยัง 33
ชีวิตด้วยความมุ่งหวัง โดยความคาดหมายของทุกคนฝากไว้กับรัฐมนตรีเหมืองของประเทศชิลี Laurence Golborne (Rodrigo Santoro จาก 300) รวมทั้งวิศวกร Andre Sougarret (Gabriel Byrne) ผู้ได้รับมอบหมายจากผู้นำ Sebastián Piñera (Bob Gunton) ให้มาดูแลกระทำการช่วยเหลือคนงานอีกทั้ง 33 คนขึ้นมาจากอเวจี 700 เมตร แบบเป็นๆ
รีวิวภาพยนตร์ 33 ใต้นรก 200 ชั้น
เป็นภาพยนตร์ที่ผลิตขึ้นจากสถานะการณ์จริง โดยจับเอาเหตุเหมืองกระหน่ำ เมื่อ 5 ส.ค. คริสต์ศักราช 2010 เหมืองนี้มีชื่อว่าเหมืองซานโฮเซ่ (San José) ในประเทศประเทศชิลี เป็นเหมืองที่ขุดแร่ทองคำและก็ทองแดง เหมืองนี้เป็นเหมืองขนาดใหญ่ขุดลึกลงไปใต้ดินหลายร้อยเมตรกำเนิดกระหน่ำลงมา คนงานนับ 33ชีวิตที่จะต้องติดอยู่ในนั้นจำเป็นต้องหาทางเอาชีวิตรอด ท่ามกลางของกินที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย แล้วก็ภาวการณ์วิตกจริต
จากสถานะการณ์จริงในปี 2010 สายตาของคนทั้งโลกจ้องไปยังประเทศชิลี คนงานเหมืองแร่ 33 คนถูกฝังทั้งที่ยังไม่ตายจากการถล่มอย่างหนักของเหมืองทองคำรวมทั้งทองแดงอายุ 100 ปี อีก 69 วันถัดมา คณะทำงานจากนานาประเทศดำเนินการตลอดทั้งวันทั้งคืนด้วยความพากเพียรอย่างเต็มเปี่ยมสำหรับเพื่อการช่วยเหลือคนที่ติดอยู่ข้างใน ตอนที่ครอบครัวแล้วก็เพื่อนพ้องของผู้คนเหล่านั้น
รวมทั้งผู้คนนับล้านๆทั่วทั้งโลกต่างรอแล้วก็จับตามองด้วยความกระวายกระวนเพื่อมองหาสัญญาณของความปรารถนาอะไรก็แล้วแต่ที่ยังคงคงเหลือ แม้กระนั้นลึกลงไป 200 ชั้นใต้ผิวดิน 33 ใต้นรก 200 ชั้น ในสภาพภูมิอากาศร้อนอึดอัดรวมทั้งความเคร่งเครียดที่ทวีขึ้น เสบียงรวมทั้งเวลากำลังหมดไปอย่างเร็ว
เรื่องราวของความยืดหยุ่นสำหรับการจัดการกับเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวตนเอง และก็ชัยของจิตใจมนุษย์ ได้รับการบอกกล่าวในรูปภาพยนตร์ประเด็นนี้ซึ่งนำพวกเราลึกลงไปสู่ส่วนลึก เปิดเผยให้มองเห็นภาวะจิตใจของมนุษย์ที่ติดอยู่ในเหมือง รวมทั้งฉายภาพความกล้าทั้งยังของคนงานเหมืองแร่และก็ครอบครัวที่ไม่ยินยอมเลิกล้มความคาดหมาย
แม้ว่าจะถ่ายทอดมาจากเหตุจริงตามที แต่ว่าเพศผู้ควบคุมอย่างแพทริเชีย ริกเกน กลับไม่สามารถที่จะเสนอความ “เหมือนจริง” ในด้านของความซีเรียสในทางของเรื่องราว เนื่องจากดูราวกับว่าขนาดฉากท้อแท้ของนักแสดงก็ยังมองโลกงามอยู่เสมอเวลาโดยยิ่งไปกว่านั้นตัวละครที่เป็นตัวละครเอกของเรื่องอย่าง มาริโอ้ (แอนโตนิโร แบนเดอราส)
พร้อมทั้งประโยคที่มองไม่ถูกที่ผิดทางที่สุดประโยคหนึ่งของโลกภาพยนตร์ “มองนั่นนะซิ โน่นเป็นหัวใจของภูเขา มันพังทลายลงมาแล้ว” เป็นคำบอกเล่าแรกที่คนรอดชีวิตจากเหมืองหินกระหน่ำ สามารถคิดรวมทั้งประดิษฐ์ประโยคที่ถูกวางแบบมาเพื่อเป็นวรรคทองคำโดยยิ่งไปกว่านั้นผู้แสดงในหนัง รู้เรื่องว่าจำต้องเลือกบุคคลที่ชีวิตจริงของพวกเขาจะต้องมีอะไรถือเอามาเล่าแล้วจะน่าดึงดูด ด้วยเหตุนั้นกระบวนการเลือกนักแสดง (จากความจริง)
ก็เลยมีทั้งยังการจับเอาผู้แสดงอย่าง ดาริโอ เซโกเวีย(ฮวน ขว้างโบล ราบา) มานำเสนอได้อย่างน่าดึงดูด ด้วยเหตุว่าเขามีปัญหาไม่ยินยอมคุยกับพี่สาวของตัวเองอย่าง มาเรีย เซโกเวีย (จูเลียต บิโนช) แต่ว่ามาเรียได้เปลี่ยนเป็นปากเสียงคนสำคัญให้บรรดาครอบครัวของผู้เผชิญภัยเพื่อทางภาครัฐยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือดูแล เพราะว่าถนนสายหลักชนผู้ครอบครองเหมืองตั้งอกตั้งใจจะปัดความรับผิดชอบ
หัวข้อของติดอยู่แรกเตอร์ที่มองแตะต้องพอเพียงเป็นใจความสำคัญได้ก็เห็นจะมีแม้กระนั้นคู่ที่กล่าวไปแล้วตามข้างต้นแค่นั้น เนื่องจากว่าคนอื่นอย่างนักแสดงที่มีภรรยาน้อยก็ใส่เข้ามา เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความขบขันอยู่เพียงแค่หลักสำคัญบ่อยๆแล้วก็หนังก็ขยี้มุกภรรยาน้อยจนถึงเฝือแล้วก็เปลี่ยนเป็นความน่าเบื่อหน่ายท้ายที่สุด ยังไม่รวมถึงผู้แสดงบ้าเอลวิส หรือผู้แสดงอื่นๆที่พอสมควรหนังจบออกมาและจากนั้นก็จำไม่ได้อยู่ดีว่าเขามีส่วนสำคัญต่อเรื่องอย่างไรบ้าง
รีวิวรวมทั้งวิภาควิจารณ์ ภาพยนตร์ The 33
ตัวเรื่องเปิดมาด้วยการเล่าถึงวิถีชีวิตกรรมกรเหมืองแร่ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ผูกพันกันเสมือนญาติพี่น้อง คนงานเหมืองแร่ทุกคนทราบถึงการเสี่ยงอันตรายที่กำลังจะได้รับดี แต่ว่าด้วยเงินเดือนที่สูงกว่างานทั่วๆไปก็เลยจะต้องยอมเสี่ยงกับการที่จะเกิดอันตราย ก่อนที่จะว่าตัวภาพยนตร์กันอย่างเจาะลึก จำเป็นต้องขอยกย่องผู้กำกับ Patricia Riggen ที่มีมมุมมองสำหรับการจัดวางภาพส่วนประกอบก้าวหน้า ทำให้ภาพออกมางดงาม มองเห็นนักแสดงหลัก และก็สิ่งแวดล้อม รวมถึงนำเสนอความใหญ่โตของเหมืองใต้ดินผ่านภาพให้ผู้ชมรู้เรื่องได้ง่าย
แต่ว่าเว้นเสียแต่มุมมองการเล่าเรื่องผ่านภาพแล้วตัวบทค่อนข้างจะอ่อนไปสักนิดสักหน่อย เพราะว่าจับทั้งยังหลักสำคัญชีวิต จับหัวข้อการเอาชีวิตรอด รวมทั้งการเกื้อกูลจากข้างนอก ภายในเวลา 127นาที ก็เลยทำให้เจาะเข้าไปในหัวข้อต่างๆได้ไม่ลึกเพียงพอ ทำเป็นแค่เพียงเห็นภาพรวมของแต่ละข้อความสำคัญโดยโดยประมาณ ยกตัวอย่างเช่นความยากแค้นสำหรับการดำรงชีวิตในเหมืองใต้ดินที่มีของกินอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยก่อนจะได้รับการเกื้อกูล
อาการหม่นหมองต่างๆที่ผู้เผชิญเหตุ แม้กระนั้นมีสิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์สามารถสื่อออกมาได้อย่างดีเยี่ยมเลยเป็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียว รวมทั้งเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของชาวเหมืองอย่างไรก็แล้วแต่การเล่าเรื่องมุมกว้างอย่างนี้ก็ทำให้ผู้ชมได้มองเห็นเรื่องราวหลายๆด้าน ทำให้ผู้ชมมีความรู้ความเข้าใจในมุมมองของแต่ละภาคส่วนว่ามีความคิดเห็นเช่นไรต่อเรื่องแบบงี้ อย่างผู้ครอบครองเหมืองที่มองเห็นชีวิตของกรรมกรเหมืองแร่กลุ่มนี้ไร้ค่าความหมาย
คิดจะปลดปล่อยให้ตายทั้งเป็นด้วย 33 ใต้นรก 200 ชั้น รวมถึงภาครัฐที่มองดูการช่วยเหลือเกื้อกูลเป็นเค้าหน้าเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่การงานของตน ซึ่งหากตัวบทเลือกที่จะเจาะใจความสำคัญเดียวอย่างถ่องแท้ ก็จะมีผลให้ผู้ชมไม่เอาจเข้าถึงมุมมองจากหลายๆข้าง ก็มีจุดเด่นข้อด้อยกันไปตามแต่ความพอใจครับผมอย่างงี้โดยรวม The 33 จัดเป็นภาพยนตร์ที่น่าดูมากมายเลยเรื่องหนึ่ง ภาพงดงาม มุมมองส่วนประกอบดี
แล้วก็มีคำบอกเล่าหนึ่งที่ผมติดอกติดใจมากมายโน่นเป็น “พวกเราอยู่ที่ตรงนี้เป็นชาวเหมือง พวกเราออกไปก็คือชาวเหมือง” คนใดกันแน่อยากทราบความหมายของประโยคนี้ชี้แนะว่าต้องไปดูเนื่องจากความหมายมันลึกซึ้งเกินกว่าจะชี้แจงผ่านตัวเขียนนับว่าเป็นปัญหาที่ยากเป็นความยากสำหรับคนทำหนัง เพราะว่าดันทำหนังที่สร้างขึ้นจากความเป็นจริงที่พึ่งจะเกิดขึ้นได้เพียงแค่ห้าปีหยกๆเพียงแค่นั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งหนังเขาจึงควรทำตอนการเดินเรื่องรวมทั้งกลางทางของเรื่องให้สนุกสนานแล้วก็มีคุณค่าเยอะที่สุดเท่าที่จะแต่งได้ เพื่อนำพาผู้ชมให้รู้สึกต้องการช่วยลุ้นรวมทั้งเป็นอันมากจิตใจกับผู้แสดงไปจนกระทั่งสิ้นเรื่องถึงแม้ว่าผู้ชมเขาบางครั้งก็อาจจะทราบตอนสุดท้ายของเรื่องราวนั้นกันดีอยู่และก็ตามการเล่าเรื่องตัดสลับไปๆมาๆระหว่างเหตุการณ์บนบกกับเหตุการณ์ใต้ดินข้างล่างทำให้พวกเรารำลึกถึง The Martian ที่คนบนโลก
หลายหน่วยงานรุมกันช่วยเหลือนักบินอวกาศคนหนึ่งที่ติดอยู่บนดาวอังคาร แต่ว่าไม่รู้เรื่องอย่างไร การต่อว่าดอยู่ใต้โลก 33 คนกลับยุ่งยากวุ่นวายกว่าการอยู่ตามลำพังคนเดียวที่นอกโลกบางครั้งอาจจะเพราะเหตุว่า Mark Watney ใน The Martian เขาอยู่ตามลำพังคนเดียวบนดาวอังคาร ของกินมากเกินกว่า ผลิตของกินเองก็เป็น แล้วก็ราวกับไม่มีพันธะที่ใดตามมาโหวกเหวกโวยวายนาซ่า
ในเวลาที่ชาวเหมืองประเทศชิลีใน The 33 เนี่ย มีกันตั้ง 33 ชีวิต กับของกินที่จำกัด และก็มองไม่มีผู้ใดคงจะมีความสามารถแบบ Mark Watney ที่จะสร้างของกินเองได้ มีก็แต่ว่า Álex Vega (Mario Casas) ที่ดูเหมือนจะพอเพียงมีความเข้าใจสำหรับในการทำน้ำหน่อยเดียวนอกนั้น Mark Watney เป็นนักบินอวกาศของท้องนาซ่า เป็นบุคคลที่สังคมตีค่าว่าเขาทรงเกียรติและก็มีค่าแก่การทุ่มทุนช่วยเหลือ ในตอนที่ชาวเหมืองนั้น
ในตอนแรกแทบโดนทิ้งแล้ว เพราะเหตุว่าผู้ครอบครองเหมืองคิดว่าไม่คุ้มกับการลงทุนที่จะเสียตังค์หรือเสี่ยงเสื่อมเสียงานเพิ่มเพื่อไปกู้กลุ่มคนเหล่านี้กลับมา แม้กระนั้นแม้คนงานเหล่านี้จะมองไม่มีคุณค่าสำหรับผู้ครอบครองเหมือง แต่ว่าอย่างต่ำพวกเขาก็ยังมีค่ามากมายสำหรับผู้ที่อยู่ด้านหลัง…
ในหนัง บรรยากาศใต้ดินมองสงบ สามัคคี ยอมกัน
แล้วก็มองมีสติสัมปชัญญะกว่าคนด้านบนมากมาย บรรยากาศการรวมตัวกันของพวกครอบครัวบนบกนี่วุ่นวายเป็นจริงเป็นจัง แม้กระนั้นก็เบิกบานดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนผู้หญิงดราม่านี่มองเพลิดเพลินเลย แล้วยิ่งขณะที่รัฐมนตรี Laurence ติดต่อกับพวกคนด้านล่างได้แล้วนะ โอ้โห สื่อเอ่ย หน่วยงานเอ่ย หน่วยงานเอ่ย ห้อมล้อมกันมาเอาหน้าตามกระแสกันนุงนัง (แม้กระทั้ง Nike กับ Apple ก็มา) เอ็นหน้าจอยผู้ชมอย่างพวกเราๆมากมาย เนื่องจากเสมือนได้นั่งมองละครสัตว์ สำราญใจดี
แม้กระนั้น ถ้าหากว่ากันโดยรวม พวกเราเฉยๆกับ The 33 ส่วนหนึ่งส่วนใดก็อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากหนังมันมองโลกงามไปหน่อย เขาเน้นย้ำกับความปรารถนาเลื่อมใสมากเกินความจำเป็นจนกระทั่งมองแบนราบไม่มีมิติ (และก็พระผู้เป็นเจ้ามาเต็ม!) แล้วแทนที่หนังจะเพิ่มมิติให้เรื่องราวหรือผู้แสดง ตรงกันข้ามเขากลับแต่งกับมันเยอะเกินไปจนกระทั่งมันออกมามองไม่แพง… ราวกับละครข้างหลังข่าวสาร
ที่พวกเราเกลียดที่สุดเป็น พวกเรามีความคิดว่าหนังเขามีความบากบั่นดราม่าแล้วก็ในเวลาเดียวกันก็พากเพียรยัดเยียดข้อหาเพลิดเพลินเข้ามาจนกระทั่งเกินความจำเป็นจนกระทั่งดูเหมือนกับว่าแออัด ทำให้เรื่องราวที่เกิดเรื่องจริงกลับดูอย่างกับว่าเลียนแบบเปลือกไปซะหมด และก็นี่ยังไม่นับการแสดงที่เล่นใหญ่มากกว่ารัชดาลัยเธียเตอร์ (เอ้อ ตอกย้ำซ้ำเติมความคล้ายราวกับละครข้างหลังข่าวสารเข้าไปอีก) ถามคำถามว่ามันขำมั้ย มันก็ขำล่ะ มันก็ฟีลกู้ดดี แม้กระนั้นมันยังไม่ใช่…
ความเฟคอีกประการหนึ่งซึ่งยอดเยี่ยมในปัจจัยที่ทำให้พวกเรารู้สึกไม่ค่อยอินกับหนังก็คือ “ภาษา” ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของเรื่อง (จริงๆควรเป็นภาษาประเทศสเปน) แม้กระนั้นก็ยังคงใช้ภาษาประเทศสเปนตามป้ายต่างๆรวมทั้งการออกสื่อออกข่าวสาร แต่ว่าถ้าเกิดผู้ใดกันไม่ซีเรียสกับจุดนี้แบบพวกเรา ก็อาจไม่มีปัญหาอะไร สามารถละเลยมันไปได้
แต่ว่ามั่นใจว่าอาจจะมีหลายๆคนสะดุดกับฉากแอบอวยมะกันที่ Warnerbros. ไม่ลืมเลือนที่จะแอบแฝงเข้ามาในหนัง ตรงฉากที่หนังเสนอข่าวสาร Jeff Hart นักเจาะคนอเมริกันว่าเป็นวีรบุรุษสำหรับเพื่อการ rescue คนงานเหมืองแร่ประเทศชิลีในคราวนี้ด้วย (เอ้อ จริงๆในสถานะการณ์นี้ ก็มีชาวไทยไปร่วมด้วยสองคนนะเอ้อ) ไม่เคยทราบผู้อื่นดูแล้วจะรู้สึกเสมือนพวกเรามั้ย แต่ว่าพวกเรามีความรู้สึกว่าเขาเจตนาใส่ฉากนี้ขึ้นมาอวยอเมริกา แม้ว่าจะ 2 วิฯ ก็จะอวย (เอ้อ แต่ว่าพวกเราก็มิได้ว่าเขาไม่ถูกนะ เพียงแค่พิจารณาเฉยๆ)
โดยสรุป The 33 เป็นหนังฟีลกู้ด 33 ใต้นรก 200 ชั้น แอบแฝงความคาดหมาย เลื่อมใส (Don’t give up!) แล้วก็การร่วมแรงพร้อมใจ การเล่าเรื่องมองได้เพลิดเพลินๆรวมทั้งฉากตอนเหมืองกระหน่ำก็ทำออกมาตื่นเต้นอยู่ เป็นหากไม่ติดว่าหนังแออัดดราม่าเหลือเกินนิดรวมทั้งมองเป็นละครไปเสียหน่อย พวกเราว่า สำหรับหนังที่ผลิตขึ้นจากข้อเท็จจริงแล้วเนี่ย The 33 มันก็เป็นหนังที่โอเคเรื่องหนึ่งทีเดียวนะ